The New CLS จ่อเปิดตัวในไทยปลายเดือนนี้ ในงาน Motor Show 2018

 

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมส่ง The New CLS 300 D AMG Premium รุ่นใหม่ล่าสุดลุยงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้

The new CLS 300 d AMG Premium เป็นรถยนต์รุ่นที่ 3 ในตระกูล CLS ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและดีไซน์อันงดงาม สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ทั้งด้านสมรรถนะและสุนทรียะในการขับขี่

โดยรถยนต์รุ่นนี้มีจุดเด่นอยู่ที่กระจังหน้าแบบ diamond-pattern grille ที่มีเส้นตัดแบ่งเส้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบคูเป้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รูปทรงของไฟหน้าได้รับการออกแบบให้มีเหลี่ยมมุมสอดรับกับเส้นสายบริเวณกระจังหน้าอย่างลงตัว

ด้านข้างตัวรถเสริมความสง่าด้วยลายเส้นที่อยู่สูงและลากเป็นวงโค้งตลอดคันรถ พร้อมมีการใช้เส้นสายที่ดูแข็งแกร่งบริเวณตัวถังเหนือล้อคู่หลังที่ค่อยๆ ทอดต่ำลงและผสานเข้ากับฝากระโปรงหลังที่มีลักษณะราบเรียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อีกประการหนึ่งของรถยนต์ตระกูล The CLS นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด – ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า – หลัง และสเกิร์ตดีไซน์สปอร์ตจาก AMG, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก, ล้ออัลลอยสปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19″ อีกทั้งยังมีชุดไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเทคโนโลยีไฟเบอร์ออฟติก

ดีไซน์ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราเรียบง่าย มีการเพิ่มความพิเศษด้วยการติดตั้งไฟประดับที่ช่องลมของเครื่องปรับอากาศ เพื่อเสริมรูปลักษณ์ของช่องลมที่ดูคล้ายเครื่องยนต์ของเครื่องบินเจ็ทให้ดูโดดเด่นและสวยงามมากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมลูกเล่นด้วยการเปลี่ยนสีเมื่อมีการปรับอุณหภูมิ แผงหน้าปัดสำหรับผู้ขับขี่เป็นแบบดิจิตอลซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ ประกอบไปด้วยแบบคลาสสิก สปอร์ต และโปรเกรสซีฟ

นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มีการออกแบบเบาะที่นั่งสำหรับรถยนต์ตระกูลซีแอลเอสรุ่นใหม่โดยเฉพาะ พร้อมปรับการจัดวางเบาะที่นั่งเป็นแบบ 5 ที่นั่งเป็นครั้งแรก เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 40/20/40 ได้เพื่อขยายความจุของกระโปรงหลังที่มีความจุสูงถึง 520 ลิตร, ขณที่เบาะที่นั่งคู่หน้าสามารถปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ, พวงมาลัยพาวเวอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต 3 ก้านท้ายตัด ที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถด้วยระบบไฟฟ้า หุ้มหนัง nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control, ระบบ AUDIO 20 GPS และหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้วต่อกัน 2 จอ, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad, กาบบันไดเรืองแสงพร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต อีกทั้งยังสามารถเลือกสีของไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารได้ถึง 64 สี (Premium ambient lighting)

ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี โดดเด่นด้วยระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่อันหลากหลายถึง 5 แบบ คือ ECO ที่ช่วยปรับการขับขี่เข้าสู่ระบบประหยัดน้ำมัน, INDIVIDUAL ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้, COMFORT ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, SPORT เน้นการเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ SPORT+ ซึ่งเป็นโหมดที่สามารถใช้สมรรถนะเครื่องยนต์ได้สูงที่สุด และอัตราเร่งดีที่สุด, ระบบกุญแจ KEYLESS-GO พร้อม HAND-FREE ACCESS, ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2-Zone, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System), ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist), ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC), ระบบนำทาง (navigation system), ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® Surround Sound System, ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple Carplay & Android Auto และระบบ Bluetooth สำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่

ภายใต้ฝากระโปรงถูกติดตั้งมาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC และ Paddle shift ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.4 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม.