ทดลองขับ! TOYOTA C-HR ไฮบริด SUV ที่ หนึบ..แน่น ประหยัดจริง คุ้มค่าตัว 1 ล้าน
TOYOTA C-HR รถยนต์ SUV หรือรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ที่อยู่ในกลุ่ม B-SUV ซึ่งเป็นกลุ่มรถยนต์ที่โตโยต้ายังไม่มีจำหน่ายในตลาด การเปิดตัว C-HR จึงเข้ามาเติมเต็มตลาดรถยนต์ของโตโยต้า ให้มีคสามสมบูรณ์แบบมากขึ้น
และที่สำคัญ โตโยต้า ยังได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใส่ไว้ใน C-HR อีกไม่น้อยทีเดียว ทำให้เรามองเห็นทิศทางรถยนต์ของโตโยต้าผ่าน C-HR ได้อย่างไม่ยากนัก
จะว่าไปแล้ว โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ตั้งความหวังไว้กับ C-HR ไว้ไม่น้อยทีเดียว เห็นได้จากการตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไ้ว้สูงถึง 20,000 คัน ซึ่งก็ไม่น่าเป็นเรื่องยากสำหรับเป้าหมายการขายนี้ เพราะเพียงการเปิดรับจองเดือนแรก TOYOTA C-HR ฟาดยอดจองไปแล้วกว่า 4,000 คัน นั่นหมายความว่า ลูกค้าให้การตอบรับกับ รถรุ่นนี้ไม่น้อยทีเดียว
วันนี้ Motorlism มีโอกาสลองขับ TOYOTA C-HR รถ SUV ที่ใครต่อใครอยากรู้ว่า “ดีจริง” หรือเปล่า วันนี้ เรามีคำตอบมาให้
TOYOTA C-HR มีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น แบ่งเป็นรุ่นเครื่องยนต์ ไฮบริด 2 รุ่น และรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2 รุ่น โดยรุ่นที่โตโยต้า เตรียมมาให้ขับนั้นเป็นรุ่นท็อปสุดคือรุ่นไฮบริด HV Hi ที่มีราคาค่าตัวที่ 1.159 ล้านบาท มีออปชั่นในแบบที่ว่าล้นคัน แต่เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันว่ามีออปชั่นอะไรบ้าง
แต่ก่อนที่จะขับเรามาเริ่มกันที่หน้าตาภายนอกของ TOYOTA C-HR กันดีกว่า หน้าตาของเจ้าตัวนี้บอกได้คำเดียวว่า “ล้ำ” ไม่น้อยทีเดียว ลบภาพความเป็นอนุรักษ์นิยมของโตโยต้าไปได้ไม่น้อยทีเดียว เรียกว่าโฉบเฉี่ยวโดนใจวัยรุ่นดีทีเดียว แต่ก็แน่นอนครับ ถ้าหน้าตาและหุ่นแบบนี้ ก็ต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้สูงอายุทั้งหลายแน่ๆ
ส่วนตัวแล้วผมชอบน่ะกับหน้าตาของ TOYOTA C-HR มันเจ๋งดี มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองเหมือนกับ Nissan JUKE ที่เลิกผลิตและจำหน่ายในเมืองไทยไปเสียแล้ว
นอกจากหน้าตาที่เด่นแล้ว ออปชั่นภายนอกก็เด่นไม่น้อย ตั้งแต่ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Full LED ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED Light Guiding ไฟเลี้ยวหน้า-หลังเป็น LED ไฟหน้าสามารถปรับสูงต่ำอัตโนมัติได้ ส่วนไฟท้ายเป็น LED รมดำ มาให้ด้วย เรียกว่าไฟ LED รอบตัวเลยทีเดียว
เดินมาที่ด้านหลังลองเปิดฝากระโปรงท้ายดู เอ…หนักเอาเรื่องเหมือนกัน น่าจะเป็นปัญหาสำหรับสาวๆ แล้วหล่ะ พื้นที่เก็บสัมภาระที่อยู่ด้านหลังฝากระโปรงใหญ่โตเอาเรื่องเหมือนกัน ผิดกับรูปทรงที่เป็นรูปลิ่มด้านท้ายรถลาดลง ซึ่งผมนึกว่าจะทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังแคบๆ เล็กๆ แต่ปรากกฏว่าใหญ่เอาเรื่องเหมือนกัน หมดห่วงเรื่องการขนสัมภาระไปได้ และยิ่งพับเบาะหลังลงไปอีก พื้นที่เก็บสัมภาระก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
แต่เมื่อมองไปที่ยางและล้อของ TOYOTA C-HR รู้สึกขัดตากับลายล้อแม็ก ที่ออกจะธรรมดาเหลือเกิน ไม่เหมาะกับหน้าตาที่ออกแบบมาอย่างวัยรุ่น แต่ลายแม็กรุ่นคุณปู่ ซึ่งผมเชื่อว่าลูกค้าที่ซื้อ TOYOTA C-HR ต้องไปเปลี่ยนแม็กไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนยางเป็นขนาด 205/60/R17 ดูลงตัวแล้วครับ หรือถ้าใครจะไปเปลี่ยนเป็นขอบ 18 นิ้วก็ไม่ผิดกติกา แถมยังดูดุขึ้นไม่น้อย
มาว่ากันที่ภายในกันบ้าง เริ่มจากขนาดพื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังที่จะว่าไปแล้วพื้นที่ห้องโดยสารหลังก็ใหญ่พอประมาณน่ะ มีพื้นที่วางขาพอได้อยู่ ความสูงของหลังคายังมีเหลือ แต่ด้วยการออกแบบตัวรถที่ออกเป็นแบบสปอร์ต แถมด้วยโทนสีของ TOYOTA C-HR รุ่นท็อปที่ใช้โทนสีทูโทน คือดำ-น้ำตาล เลยทำให้ห้องโดยสารยิ่งดูแคบ และอึดอัด แถมพ่วงมาด้วยทรงของหน้าต่างหลังที่เล็กเหลือเกิน เลยทำให้ผู้โดยสารตอนหลังเวลานั่งพิงเบาะหลังแล้ว เหมือนเราติดอยู่ในถ้ำยังไงไม่รู้ แม้ว่าเบาะหลังจะนั่งค่อนข้างสบายก็ตาม
ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายไม่ต้องมองหานะครับอยู่กันแบบพอเพียง ไม่มีที่พักแขน ไม่มีช่องเสียบ USB ไม่มีแอร์หลัง มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งที่ประตูทั้ง 2 บานเท่านั้นที่มีมาให้ นอกนั้นก็ดิ้นรนกันเอาเองครับ
ขยับมานั่งตำแหน่งคนขับ เบาะหนังทรงสปอร์ตนั่งกระชับตัวดีครับ ไม่ถึงขนาดบีบตัวให้อึดอัด โดยเบาะในรุ่นท็อปจะมีฟังก์ชั่นดันหลังให้ด้วย ผมชอบน่ะเบาะแบบนี้ นุ่มด้วยหรูด้วย นั่งสบายเครับ สำหรับผู้ชายความสูง 170 เซนติเมตรอย่างผม
มาตรวัดต่างๆ ด้านหลังพวงมาลัยดูทันสมัยดี มีจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้วที่แสดงข้อมูลต่างๆ ภายในรถมาด้วย ขนาดของตัวอักษรก็มีขนาดใหญ่อ่านง่าย ส่วนตรงคอนโซลกลางโดดเด่นที่สุดก็คือ จอเครื่องเสียงขนาด 7 นิ้ว ที่ถูกออกแบบมาลงตัวอย่างมากกับแผงคอนโซลกลางของ C-HR เจ้าจอตัวนี้ ทำหน้าที่ทั้งเป็น front เครื่องเสียง ยังเป็นจอมองหลังเวลาเราเข้าเกียร์ R ด้วย และยังมีแอพพลิเคชั่น Toyota T-Connect ร่วมอยู่หน้าจออีกด้วย
ถัดลงมาด้านล่างเป็นปุ่มปรับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งแยกอิสระซ้าย-ขวา ดูเก๋ทีเดียว แต่มองหาช่องเสียบ USB แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะมีมาให้แค่ช่องเดียวคือตรงจอเครื่องเสียงเพียงช่องเดียวเท่านั้น ไม่มีซ่อนอยู่ตรงไหนอีกแล้ว
มาลองขับกันเลยดีกว่าว่าเครื่องยนต์ ไฮบริดของ TOYOTA C-HR นั้นเจ๋งแค่ไหน เครื่องไฮบริดรุ่นนี้ เป็น Generation ใหม่ของโตโยต้า ที่ได้รับการพัฒนาให้แบตเตอรี่มีขนาดที่เล็กลง แต่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น โดยย้ายตำแหน่งของแบตเตอรี่มาอยู่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น มีความทนทานและประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
122 แรงม้าคือแรงม้าทั้งหมดของ TOYOTA C-HR ทั้งจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า แรงบิดสูงสุดที่ 142 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 3,600 รอบต่อนาทีเท่านั้น
อัตราเร่งของ TOYOTA C-HR เครื่องยนต์ไฮบริดนั้น มาแบบเรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาแบบหลังติดเบาะอะไรมากมายนัก ถ้าใครต้องการความปราดเปรียวจากเครื่องตัวนี้มองข้ามไปได้เลย แม้ว่าเราจะปรับโหมดการขับมาเป็น Sport แล้วก็ยังไม่จี๊ดจ๊าดอย่างที่คิด แต่ก็เร็วขึ้นมาเอาการอยู่เหมือนกันพอใช้ได้ครับ หากใครเบื่อที่กับโหมด Eco กับ Normal ที่เวลาเร่งแซงต้องกดคันเร่งกันแทบทะลุพื้นกว่าที่อัตราเร่งจะขยับขึ้นมาตามที่เราหวัง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอัตราเร่งจะขี้เหร่มากมายนักนะครับ พอไปได้แน่นอน แต่ไม่ทันใจวัยรุ่นก็เท่านั้น แต่ถ้าใครขับรถแบบสบายๆ ตามการใช้งานปกติในชีวิตประจำวันไม่มีปัญหา ถือว่าดีเลยละครับ เพราะเครื่องตัวนี้ขับเรื่อยๆ ได้สบายมาก ความราบเรียบในการเปลี่ยนเกียร์ดีมากนุ่มนวลแบบหาตัวจับยากเลยทีเดียว ความเร็วสูงสุดที่ผมทำได้อยู่ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียงพอแน่นอนสำหรับการใช้งานทั้งในเมือง และการเดินทางไปมาระหว่างจังหวัด
แม้ว่าเครื่องยนต์ไฮบริดตัวนี้ ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของอัตราเร่ง แต่จุดเด่นของเครื่องตัวนี้ คือความประหยัดที่อยู่ในขั้นเทพ ซึ่งไม่มีคู่แข่งในคลาสเดียวกันเทียบติดเลย TOYOTA C-HR ทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นเลย
อัตราการสิ้นเปลืองของ TOYOTA C-HR อยู่ที่ประมาณ 22 กิโลเมตร/ลิตร ในการขับด้วยความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และถ้าขับที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 20 กิโลเมตร/ลิตร สุดยอดดดด!! ครับ กับการขับขี่แบบใช้งานจริง ถือว่าเป็นรถที่โคตรประหยัดในบ้านเราวันนี้เลย
น่าเสียดายที่ผมยังไม่มีโอกาสได้ขับใช้งานในเมืองเลยยังไม่แน่ใจว่าอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ระดับใด แต่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 18 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน
ใครที่มองหารถประหยัดๆ แบบไม่ต้องมานั่งเสียบปบลั๊กชาร์จไฟเวลากลับบ้าน หรือไปห้างสรรพสินค้า ในเทคโนโลยี Plug-In Hybrid ก็ต้องเทคโนโลยีไฮบริดแบบนี้ละครับ ซึ่งผมมองว่าในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยี ไฮบริด คือเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบ้านเรามากกว่า เทคโนโลยี Plug-In Hybrid แน่ๆ
นอกจากเรื่องอัตราเร่งที่ไม่ค่อยทันใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่โตโยต้าต้องปรับปรุงคือ เสียงรบกวนภายในห้องโดยสารที่เข้ามาค่อนข้างจะมากกว่าปกติตั้งแต่ความเร็วตั้งแต่ 110 กิโลเมตรขึ้นไป โดยเฉพาะเสียงลมปะทะกระจกหน้า และเสียงลมจากกระจกข้างน่ารำคาญเลยครับ แต่หากเราใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเงียบภายในห้องโดยสารอยู่ในขั้นที่ดีมาก น่าเสียดายที่เครื่องเสียง และลำโพงของ TOYOTA C-HR ยังอยู่แค่เกณฑ์มาตรฐานยังไม่ใช่ลำโพงเทพๆ ไม่อย่างนั้นละก็ช่วงรถติดๆ ช่วงขับรถในเมือง ห้องโดยสารของ TOYOTA C-HR จะกลายเป็น Hall คอนเสิร์ตเคลื่อนที่ได้เลย
มาในเรื่องของช่วงล่างกันบ้าง ช่วงล่างของ TOYOTA C-HR ถูก set มาได้แบบดีเยี่ยมทีเดียว แน่นหนึบ แบบน่าประทับใจ พวงมาลัยแม่นยำดีทีเดียว เป็นรถอีกหนึ่งคันที่ผมบอกได้เลยว่าช่วงล่างดีมาก ขับด้วยความเร็วสูงตัวรถไม่มีอาการส่าย พวงมาลัยก็ไม่สั่น ลองขับในย่านความเร็วระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วงล่างยังนิ่งอยู่มาก และยังนิ่งไปจนถึงความเร็วสูงสุดที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขอปรบมือให้กับฝ่ายวิศวกรด้านช่วงล่างของโตโยต้าที่พัฒนาช่วงล่างออกมาได้ดีมากทีเดียว
และไม่ใช่แค่ หนึบ แน่น อย่างเดียวนะครับ ช่วงล่างของ TOYOTA C-HR ยังมีความนุ่มอยู่ในตัวด้วย เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำหรือใช้งานในเมือง ช่วงล่างก็จะนุ่มนวลพอสมควร แม้ว่าจะใช้ยางขนาด 17 นิ้วก็ตาม พวงมาลัยก็เบามือดีไม่น้อยทีเดียวกับการใช้งานในเมือง คล่องตัวดีครับ วงเลี้ยวไม่กว้างเท่าไหร่ ซอกแซกได้
การใช้งานทั่วไปถือว่า TOYOTA C-HR ตอบสนองได้เป็นอย่างดี แต่ต้องเป็นการใช้งานสำหรับครอบครัวที่มีกันแค่ 2 คน ถ้ามากกว่านั้นไม่แนะนำเพราะผู้โดยสารตอนหลังจะไม่ค่อยมีความสุขกับการนั่งหลังแน่นอน
แต่ถ้าคุณกำลังหารถยนต์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีทั้งในเรื่องของเครื่องยนต์ และความปลอดภัย รวมถึงความประหยัดระดับเทพที่ไม่มีรถคลาสเดียวกันทำได้ ละก็ TOYOTA C-HR คือคำตอบที่ผมว่าหาไม่ได้อีกแล้วในรถยนต์ราคา 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า คุ้มยิ่งกว่าคุ้มจริงๆ!!